พยานบุคคล
หลวงพ่อแดง – เรื่องเล่า

ชิงช้าสวรรค์

        หลวงพ่อแดงได้ปรารภธรรมว่า “คนเราเวียนตาย เวียนเกิด ก็เหมือนขึ้นชิงช้าสวรรค์ หมุนขึ้นที่สูง แล้วก็ต้องหมุนลงมาที่ต่ำ ขึ้นๆลงๆ ไม่มีจบสิ้น คนฉลาดที่เขามองเห็น เขาจะกระโดดออกจากชิงช้า เท่านั้นเองก็สบายไป” แล้วหลวงพ่อแดงท่านก็หัวเราะ

     “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

รังนก

          หลวงพ่อแดงท่านถามลูกศิษย์คนหนึ่งว่ารู้จักรังนกไหม รังนกควรจะอยู่ที่ไหนบนกิ่งไม้ ลูกศิษย์ตอบรังนกต้องอยู่ที่แข็งแรงและปลอดภัยคือตรงโคนกิ่งไม้ หลวงพ่อแดงเลยพาไปดูรังนกของจริง ปรากฎว่ารังนกอยู่ที่ปลายสุดของกิ่งไม้ เมื่อมองไปในรังนก เห็นแม่นกอยู่ในรังและมีไข่อีกสองใบ หลวงพ่อแดงชี้ให้ดูว่า นกมันเลือกที่มันปลอดภัยคือปลายสุดของกิ่งไม้ เพราะเวลางูมากิ่งไม้มันจะสั่น นกก็บินหนีได้ทัน ส่วนเราเป็นคนก็คิดว่าบ้านเราหลังใหญ่คงปลอดภัยดี แต่นกไม่คิดเช่นนั้น นกเมื่อลูกมันโตแล้ว นกก็จะทิ้งรังไว้และจากไปไม่กลับมาที่รังเดิม แต่คนที่มีบ้านเมื่อจากมาก็ยิ่งห่วงหา อยากจะกลับมาบ้านที่สร้างไว้ ไม่รู้คนหรือนกฉลาดกว่ากัน นกบินไปจับต้นไม้ ต้นนั้นบ้างต้นนี้บ้างแล้วก็จากไป มันไม่ไปยึดว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นของๆมัน มันแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง 

 “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

เตาเผาถ่าน

          วันหนึ่งหลวงพ่อแดง พาคนสวนวัดไปที่เตาถ่าน เพื่อจะไปเอาถ่านออกจากเตา

หลวงพ่อแดงถามว่า “จะทำอย่างไร จึงจะเอาถ่านออกมาได้”

คนสวนคนหนึ่ง ตอบว่า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

คนสวนอีกคนหนึ่ง ตอบว่า “เคยไปดูสามีทำเตาเผาถ่าน เวลาจะเปิดเตา ก็จะเอาเสียมมากระแทกให้เป็นรู เปิดเป็นทางเข้าไปในเตาเผาถ่านได้”

หลวงพ่อแดงตอบว่า “เออ ใช่แล้ว”

คนสวนจึงช่วยกันเอาเสียมมาเปิดปากเตา

หลวงพ่อแดงถามว่า “ข้างในเตาเผาถ่านร้อนไหม?”

คนสวนตอบว่า “ร้อนเจ้าค่ะ”

หลวงพ่อแดงเลยบอกว่า “ถ้าที่ไหนมันร้อน ก็อย่าไปอยู่ใกล้”

  “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

หมอนวดตาบอด

          มีหมอนวดตาบอดมานวดให้พระรูปหนึ่ง พระรูปนั้นถามหมอนวดว่า ทำไมถึงตาบอด หมอนวดบอกว่า เพราะผมคลอดก่อนกำหนด  อายุครรภ์ 7  เดือนผมก็คลอด หมอเลยต้องเอาใส่ตู้อบ แต่หมอลืมปิดตาทำให้ผมตาบอด พระรูปนั้นจึงถามหมอนวดว่าโกรธหมอไหม หมอนวดตอบว่าไม่โกรธ ถือว่าเป็นกรรมของผมเอง พระรูปนั้นไม่เข้าใจเรื่องกรรมเลยไปถามหลวงพ่อแดง

หลวงพ่อแดงตอบว่า หมอนวดตาบอดเพราะคลอดก่อนกำหนด ก็เหมือนเราที่ตั้งใจทำสมาธิแล้วออกก่อนกำหนด เดิมตั้งใจนั่งสมาธิสามชั่วโมง ปรากฏว่าออกก่อนกำหนด คือนั่งเพียงหนึ่งชั่วโมง จากนั้นหลวงพ่อแดงก็บอกว่า โทษหมอว่าทำให้ตาบอด นั้นคือเห็นความผิดของหมอว่าทำให้ตาบอด ไม่ควรคิดอย่างนั้นเลย ควรเห็นความผิดของตัวเอง ว่าเราออกก่อนกำหนดเอง เลยทำให้ตาบอด

    “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

ฟังหูไว้หู

          ที่บ้านโยมคนหนึ่ง ระหว่างการถวายอาหาร ปรากฏว่ามีหม้อใบหนึ่ง หูข้างหนึ่งสมบูรณ์ไม่พัง อีกหูหนึ่งพังไม่สมบูรณ์  ขาดๆแหว่งๆไป หลวงพ่อแดงเลยให้แง่คิดว่า “ให้ฟังหูไว้หู”

       “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

นักขุดทอง

          ระหว่างการไปชมพิพิธภัณฑ์ทอง  ที่รัฐมิชิแกน พิพิธภัณฑ์นั้นจัดแสดงว่า ชาวมิชิแกนเดิมเป็นนักขุดทอง หลวงพ่อแดงบอกว่า ทางโลกเขาใช้ความเพียรพยายามในการขุดทอง ทางธรรมเราก็ควรใช้ความเพียรพยายามในการหาธรรมะ

    “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

เด็กขี่วัว

          ระหว่างการไปชมพิพิธภัณฑ์วัว ที่รัฐเท็กซัส ปรากฏว่ามีเด็กกำลังต่อแถวขึ้นขี่วัวอยู่ เด็กๆพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน หลวงพ่อแดงให้แง่คิดกับคณะว่า “ถ้าเราเกิดเป็นวัวแล้วโดนเขาขี่บ้าง จะหัวเราะออกไหม”

       “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

งูพิษ

พระรูปหนึ่งกำลังทำงานอยู่ เกิดความคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่ง หลวงพ่อแดงเข้ามาแล้วพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน หลังจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เมื่อรู้ว่างูพิษจะเข้าใกล้ไปให้เขากัดทำไม”

    “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

มะม่วงต้นหนึ่งมีหลายพันธุ์

        ช่วงก่อนหลวงพ่อแดงท่านจะละสังขาร ท่านได้พาคนสวนปลูกต้นมะม่วงโดยใช้วิธีการทาบกิ่ง อาศัยต้นมะม่วงต้นใหญ่เป็นพี่เลี้ยง แล้วนำกิ่งมะม่วงพันธุ์อื่นๆมาทาบกิ่ง หลวงพ่อแดงท่านบอกว่าให้มะม่วงต้นเดียวมีหลายพันธุ์ ต้นหนึ่งให้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง แทนที่ในต้นเดียวจะได้กินมะม่วงพันธุ์เดียวก็จะมีมะม่วงพันธุ์อื่นให้กินด้วย

    “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

ต้องปฏิบัติให้ถูกจุด

มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ ได้เห็นหลวงพ่อแดงท่านกำลังเปิดไฟในห้อง แล้วท่านได้บอกว่า “สวิตช์ไฟมันอยู่ผิดที่ มันต้องอยู่ข้างใน ไม่ใช่อยู่ข้างนอก ถ้าจะเปิดไฟจะต้องเปิดจากข้างใน” และอีกเหตุการณ์หนึ่งหลวงพ่อแดงบอกว่า “ถ้าจะหาน้ำบาดาลก็ต้องเจาะให้ถูกที่ ถ้ามาเจาะที่เป็นปูนแบบนี้มันจะเจาะได้อย่างไร ต้องไปเจาะที่ดินนู้น”

 “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

ปลูกต้นคูน – ปลูกต้นคน

          วันหนึ่งหลวงพ่อแดง พาคนสวนไปปลูกต้นคูน หลวงพ่อแดงพูดว่า คูนต้นเดียวใช้ปุ๋ยแค่กระสอบเดียว

ก็พอ ปุ๋ยจำเป็นและเหมาะสมกับการปลูกต้นคูนตอนต้นเล็ก ๆ เมื่อต้นคูนโตเต็มที่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ก็ปุ๋ยอีกก็ได้ ถึงจะใส่ปุ๋ย ก็จะไม่ทำให้ต้นโตขึ้นได้อีก

          พอต้นคูนโตแล้ว นก หนู หนอน แมลง และพวกเรา ก็ได้อาศัยร่มเงา ดอกผลของมัน เปรียบเหมือนคนเรา ถ้าคนมีสติ สมาธิ ปัญญา อยู่กับตัวแล้ว ก็สามารถเติบโตและเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง และผู้อื่นได้

 “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

มะพร้าว 4 ต้น

          หลวงพ่อแดง ให้หาต้นมะพร้าวน้ำหอมมาจากแม่กลองมาปลูกที่วัด หลวงพ่อแดง บอกว่า “ต้นมะพร้าวปลูกหมดทุกต้น แต่มันได้ผลไม่เหมือนกันทั้งหมด” หลวงพ่อแดงเล่าต่อว่า “มะพร้าวมี 4 ต้น” ต้นหนึ่งจะมีลูกดก ต้นหนึ่งมีลูกไม่ดก ต้นหนึ่งมีอยู่ 2-3 ลูก ส่วนอีกต้นไม่มีลูกจะมีแต่ใบกับยอดสูงๆ หลวงพ่อแดงถามคนสวนว่า “จะเลือกปลูกต้นไหน” คนสวนตอบว่า “เอาต้นที่ลูกดกๆ” หลวงพ่อแดงก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ปลูก 4 ต้น นี่หล่ะ” หลวงพ่อแดงอธิบายเพิ่มว่า ต้นมะพร้าวที่มีลูกดก เปรียบเหมือน ครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ มีบริวารเยอะ มากราบไหว้ มาสักการบูชาท่าน ให้คิดแบบนี่ ส่วนต้นที่มีลูกน้อย ๆ หมายถึงครู บาอาจารย์ มีลูกศิษย์มากราบไหว้ บ้างแต่ไม่เยอะ เหมือนกับท่านขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง จึงไม่สมบูรณ์ ส่วนอีกต้นที่มี 2-3 ลูก เปรียบเหมือน เณรน้อย” คนสวนถามว่า “เณรน้อย” เป็นอย่างไรเจ้าค่ะ หลวงพ่อ ตอบว่า “เณรน้อยบ่อาบน้ำ ไปคิดเอา ส่วนต้นมะพร้าวที่ไม่มีลูก จะสูงอย่างเดียว จะมีคนเข้าใกล้ไหม อยากกินลูกก็ไม่ได้กิน อยากกินยอดก็ไม่ได้กิน เขาอยู่สูง ปลูกมะพร้าว มีความหมายแตกต่างกันเด้อ ไปคิดเอานะ” 

 “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

มดแดง

          มีครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์ได้ติดตามหลวงพ่อแดงเดินเข้าไปในป่า หลวงพ่อแดงพาไปดูต้นไม้ที่มีมดแดงทำรังอยู่ ก็ได้เห็นมดแดงเดินเรียงกันไปเอาน้ำกลับมาที่รังเพื่อให้ลูกกิน มดแดงจะเดินไปที่สระน้ำ แล้วทุกตัวก็อมน้ำกลับมาในรังมดแดงจะมีไข่มดแดงเป็นจำนวนมาก มันเดินทั้งวันทั้งคืนไม่เหน็ดเหนื่อย อาศัยความเพียรอยู่อย่างนั้น

          หลวงพ่อแดงก็ไปเอาขวดน้ำและถังน้ำใส่น้ำเกือบเต็ม แล้วเอามาตั้งไว้ที่โคนต้นไม้ต้นนั้น หลวงพ่อแดงกล่าวว่า “มดแดงจะได้ไม่ต้องเดินไปไกล ให้ลงมากินน้ำใกล้ๆ” 

          พอถึงหน้าฝนหลวงพ่อแดงก็จะเก็บถังน้ำและขวดน้ำออก  หลวงพ่อแดงยังบอกอีกว่า “ปลูกต้นไม้ไว้ให้นก หนู กระรอก กระแต กันลมกันแดด และเขาได้พักพิงอาศัย” 

          หลวงพ่อแดงยังกล่าวไว้ว่า “บุญเล็กๆน้อยๆ เวลาให้ผล ให้ผลมาก”

 “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

อึ่งอ่าง ในวันฝนตก

          เวลาฝนตกใหม่ ๆ หลวงพ่อแดงท่านจะเดินไปรอบ ๆ วัด โดยเฉพาะบริเวณใกล้ๆสระน้ำ หรือแหล่งที่มีน้ำขัง เพราะอึ่งอ่างจะส่งเสียงร้องเรียกหาคู่ เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงอึ่งอ่างร้องก็จะพากันเข้ามาจับอึ่งอ่าง

        หลวงพ่อแดงท่านเมตตา ก็จะไปบริเวณที่มีอึ่งอ่าง เพื่อช่วยไม่ให้ถูกชาวบ้านจับไปกินหรือจับไปขาย ถ้าชาวบ้านเขาเห็นหลวงพ่อแดง ก็อาจจะเกรงใจไม่กล้าจับ แต่ในบางครั้งหลวงพ่อแดงก็ยอมหลบ กลัวชาวบ้านเขาไม่พอใจ หรือโกรธเอา  โลกมันย่อมเป็นไปตามกรรม ยกเว้นบางชีวิตที่เคยเกื้อกูลกันมา ก็อาจได้รับการช่วยเหลือกันได้

 “โอปนยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว”

“ ไม้ขีดไฟโบราณ ”

ในโอกาสหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งได้นำกล่องไม้ขีดโบราณของชาวกะเหรี่ยง     (บอกบ๊อด)มาถวายหลวงพ่อแดงให้ท่านพิจารณาดู ว่าใช้งานอย่างไร หลวงพ่อแดงท่านบอกว่าต้องใช้แรงกระแทกตบ จึงจะมีประกายไฟ โดยมีพระที่อยู่ด้วยได้ช่วยกันทำหลายรูป โดยตบหลายครั้ง แต่ไม่เกิดประกายไฟ จนหลวงพ่อแดงท่านบอกว่า ลองไปหาขนของต้นตาว (ต้นเต่าร้าง) มาเป็นเชื้อไฟ แล้วให้ลองเอาไขของเทียนไขมาเป็นตัวหล่อลื่นให้เกิดประกายไฟ จนกระทั่งไม้ขีดไฟโบราณที่ช่วยกันทำนั้นได้เกิดประกายไฟขึ้นจริงๆ

หลวงพ่อแดงท่านจึงกล่าวขึ้นว่า “อย่างนี้แหล่ะ มันถึงจะได้ เอาขนต้นตาวมาอ่อย เอาไขเทียนมาเป็นเชื้อหล่อลื่น มันก็เลยสว่าง พวกท่านก็เหมือนกัน เลือกธรรมะก็ให้เลือกที่โดนจริตของตัวเอง ถ้าโดนจริตตัวเองมันก็จะเกิดแสงสว่าง เราเป็นคนเลือกครูบาอาจารย์นะ ไม่ใช่ครูบาอาจารย์เป็นคนเลือกเรา ถ้าเลือกธรรมะผิดกับจริตตัวเอง เลือกข้อปฏิบัติที่ไม่ปลงใจกับครูบาอาจารย์ ก็ไม่เกิดแสงสว่าง ” 

“ ตกปู ”

ณ ทะเลสาบของรัฐหลุยเซียน่า สหรัฐอเมริกา โยมนิมนต์หลวงพ่อแดงไปลงเรือ ปรากฏว่ามี คนตกปูทะเล ตกง่ายมาก แค่เอาไก่ใส่เบ็ดลงไปปุ๊บ ปูก็ติดขึ้นมาแล้ว       หลวงพ่อแดงบอกว่า ถ้าปูฉลาด ก็คือ ปล่อยเหยื่อ อ้าก้ามออก ตัวมันก็จะตกลงน้ำ ก็จะไม่ติดเหยื่อ แต่ทีนี้ปูไม่ยอมปล่อย ปูก็คีบติดเหยื่อขึ้นมา

หลวงพ่อแดงบอกว่า จะยากตรงไหน ก็อ้าก้ามออก ก็ทำให้รอดตายแล้ว

        ก็เหมือนเรานั่นแหละ เขาเอาเหยื่อมาล่อแล้วก็ติด เราไม่ยอมปล่อย ไปติดเหยื่อเขา เหมือนพวกเราไปเล่นคาสิโน(บ่อนการพนัน)ก็ติด พอเล่นบ่อยๆ มันก็หลงไปติดเหยื่อเขา 

          หลวงพ่อแดงบอกว่า ให้เลิกเสีย อย่าไปเล่น ไม่งั้นจะเป็นเหมือนปูนี่แหละ ที่ติดเหยื่อ คือมันหนีบไม่ปล่อยจริงๆ ถ้ามันปล่อยเหยื่อ อ้าก้ามออก มันก็จะรอด

บ้าน้ำลาย

ครั้งหนึ่ง พระบวชใหม่หลายรูป ได้ทำข้อกิจวัตรถูศาลา และสรงน้ำหลวงพ่อแดงเสร็จ จึงพากันมานั่งพัก ฉันน้ำปานะที่โรงน้ำร้อน แล้วพากันพูดถึงเรื่องการทำมาหากินสมัยก่อน การทำมาหากินสมัยปัจจุบัน และอีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องทางโลก โดยพูดคุยกันหลายรูป ด้วยท่าทางสนุกสนาน และเสียงดังมาก ซึ่งกุฏิของหลวงพ่อแดงก็อยู่ใกล้โรงน้ำร้อน ทำให้ได้ยินทุกคำพูดของพระบวชใหม่ที่คุยกัน

          รุ่งเช้า หลวงพ่อแดงขึ้นศาลา ได้เทศนาออกไมค์ ซึ่งได้ยินกันถ้วนหน้า ว่า              “ ชอบพูดกันมากนักเหรอ ให้พูดกันน้อยๆ เรื่องที่พูดมันไหลออกไปข้างนอกหมด เขาเรียกว่า บ้าน้ำลาย ”

“ เถ้ากระดูก ”

          มีครั้งหนึ่ง หลวงพ่อแดง ได้นำพาพระเณรในวัดรื้อถอนเมรุเผาศพเดิม ซึ่งมีเถ้าและเศษกระดูกเดิมอยู่แล้วจำนวนมาก หลวงพ่อแดงจึงให้พระเณรช่วยกันโกยเศษเถ้ากระดูก แล้วเอาไปใส่ไว้ใต้โคนต้นโพธิ์ ซึ่งอยู่ใกล้เมรุเผาศพ โดยหลวงพ่อแดงได้บอกว่า                          “ ร่างกายของเรา เศษเถ้ากระดูกก็มาจากธาตุดิน เอาไปใส่โคนต้นไม้ก็เป็นปุ๋ย ต่อไปก็ย่อมให้ต้นไม้เติบโต เป็นประโยชน์ร่มเงา ”

เกษตรดูหมากผลบนต้น แต่ไม่ดูข้างล่าง

        ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อแดง ได้ให้พระในวัดไปดูผลมะขามป้อม ที่พอจะสามารถนำเมล็ดมาปลูกเพื่อขยายพันธ์ต่อ พระรูปนั้นจึงไปมองดูบนต้นมะขามป้อม แต่พระรูปนั้นแหงนมองลูกมะขามป้อมที่อยู่บนต้น ไม่ได้มองลูกมะขามป้อมที่ร่วงอยู่พื้นดิน แล้วกลับมากราบเรียนหลวงพ่อแดงว่าบนต้นมะขามป้อมมีผลน้อย และมีแต่ลูกเล็กนิดเดียว หลวงพ่อแดงท่านจึงเดินไปดูต้นมะขามป้อมด้วยตนเอง ท่านจึงพูดว่า “พวกเกษตรชอบมองดูแต่หมากผลที่อยู่บนต้นของมัน แต่ไม่มองดูด้านล่างเลย ”

“น้ำร้อนรึยัง”

หลวงพ่อแดงท่านให้ลูกศิษย์ต่อสายไฟใส่หัวปลั๊ก จากนั้นเอาไม้ไผ่ผ่าเป็นง่าม นำแผ่นสังกะสีตัดมาใส่ แล้วเอาสายไฟใส่สองข้างเสร็จ ทีนี้ก็เอาจุ่มลงถังน้ำ  หลวงพ่อแดงถามว่า น้ำร้อนรึยัง ลูกศิษย์คนนั้นก็เอามือจุ่มน้ำดู ทีนี้ไฟมันก็ดูดลูกศิษย์คนนั้น

ครั้งต่อมาก็ทำเหมือนเดิมอีก หลวงพ่อแดงถามว่า น้ำร้อนรึยัง ลูกศิษย์คนนั้นก็เอามือไปจับถังสแตนเลส ไฟมันก็ดูดลูกศิษย์คนนั้นอีก เหตุการณ์ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้

พอหลังๆไปลูกศิษย์คนนั้นก็เริ่มมีไหวพริบแล้ว หลวงพ่อแดงท่านถามว่า มันร้อนมากไหม ลูกศิษย์คนนั้นก็ตอบท่านไปว่า “มันยังไม่ร้อนครับ มันยังไม่มีไอเดือดขึ้น” จากนั้นมาท่านก็ไม่ได้ถามอีกเลย ท่านก็ไม่ถามอีกว่า มันร้อนไหม จนกว่าจะมีคำตอบที่ให้รู้ว่า น้ำร้อนหรือน้ำไม่ร้อนจริงๆ ลูกศิษย์เปลี่ยนวิธีจากเอามือจับ เปลี่ยนเป็นสังเกตดู

“พอคนขยับตัว งูก็ชูคอ”

มีงูเข้าไปในห้องน้ำกุฏิหลวงพ่อแดง ท่านจึงเรียกลูกศิษย์มาดู ลูกศิษย์บอกว่าไม่เห็น เห็นแต่กาละมัง ท่านจึงบอกให้ไปเอากาละมังขึ้นดู ปรากฏว่า มีงูออกมาจากกาละมัง ทันใดนั้นหลวงพ่อแดงท่านก็ล็อคประตู ด้วยลูกศิษย์นั้นกลัวงูมากจึงขึ้นไปอยู่บนโถส้วม พอลูกศิษย์ขยับตัว งูก็ชูคอด้วย พออยู่เฉยๆ งูก็เอาหัวลงแล้วก็นิ่งไป เหตุการณ์ก็วนเวียนซ้ำอยู่อย่างนั้น พอคนขยับงูก็ชูคอ ต่างก็จ้องกันด้วยความกลัว

ทีนี้ลูกศิษย์คนนั้นจึงคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อแดงขึ้นมาว่า “อย่าไปปรุงแต่ง” เหมือนตอนนั้นลูกศิษย์คนนั้น แอบคิดชอบโยมสีกา จิตก็ปรุง ก็แต่งไปว่า  ได้ไปเที่ยวกับเขา แต่งงานไปมีครอบครัวกัน เนี้ยะมันปรุงมันแต่ง มันเป็นแค่จิตเราปรุงแต่งฝ่ายเดียว คิดได้อย่างนี้ ลูกศิษย์ก็รู้สึกว่า งูก็ส่วนงู เราก็ส่วนเรา หลวงพ่อแดงท่านก็เปิดประตูห้องน้ำทันทีที่ลูกศิษย์คนนั้นคิดได้ แล้วหลวงพ่อแดงก็ไล่งูให้ออกจากห้องน้ำ งูก็เลื้อยเข้าป่าไปอย่างง่ายดาย

“ ประตูใจ ”

ในครั้งหนึ่งหลวงพ่อแดงท่านมีแนวความคิดที่จะทำประตูวัดป่าบ้านค้อใหม่ เพื่อให้วัดได้เปิด-ปิดเป็นเวลา และเพื่อเป็นเอกเทศของวัด จึงนำเรื่องการก่อสร้างประตู ไปปรึกษาพระในวัดถึงรูปแบบ โครงสร้าง และแนวทางการทำประตู พอได้รูปแบบดังที่ต้องการหลวงพ่อแดงท่านจึงปรารภขึ้นว่า “ ประตู คือ ประตูใจ คือรักษาใจตนเอง ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า สิ่งที่ไม่ดีไม่งามก็ให้เรารู้ภายใน แก้ไขกันภายใน สิ่งใดควรปิดก็ปิด สิ่งใดควรเปิดก็เปิด เวลาเปิด ก็เปิดรับแต่สิ่งที่ดีๆ รับแต่สิ่งที่เป็นคุณธรรม หากจะเปิดรับเอาก็เปิดรับเรื่องภายนอกที่จะน้อมมาแก้ไขใส่ใจตนเอง รู้เขารู้เรา แล้วรักษาใจให้เป็นปริมณฑล”

แบ่งปันหน้านี้…