พยายบุคคล
พระอาจารยรญจวน สวโร
(พระอาจารย์หลอด)
“เปดเผยความจรงใหจตร”
1.ประวัติ
เกิดวันที่ 21 ธันวาคม 2505 ที่บ้านหนองสองห้อง จังหวัดหนองคาย บิดาชื่อ นายระเบียบ มารดา ชื่อ นางทองล้วน นามสกุล สุทธิประภา มีพี่น้อง 3 คน ท่านเป็นลูกคนโต มีน้องสาว 2 คน
เป็นเด็กที่สนใจธรรมะ ชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับพระที่มีฤทธิ์มีเดช ตอน ป.1 ได้เหรียญหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) ชอบนั่งสมาธิภาวนาตั้งแต่เด็ก จนจิตสงบ มีแสงสว่างออกจากภายในห้อง ท่านมีความรู้พิเศษ เช่น ถ้าจะมีใครจะตายก็จะรู้ก่อนล่วงหน้า เคยเห็นคนที่ตายไปแล้วเป็นคุณยายเดินหาบตะกร้า มีเหตุการณ์ที่ท่านจะถูกแม่ตี ท่านหนี แล้วอธิษฐานจิต ว่าเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าดิน ช่วยบังอย่าให้แม่เห็น พอแม่มาถึงที่ท่านยืนก็ไม่เห็นท่านจริง จนท่านยื่นมือมาจับ แม่จึงไม่ตี แล้วพากลับบ้าน สามารถสื่อและพูดคุยกับหลวงปู่จวนทางจิตและทางนิมิต หลวงปู่จะพาไปให้เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นอุบายในการพิจารณา เช่น พาไปดูคนตาย สัตว์ตายแล้วให้น้อมมาพิจารณาเปรียบเทียบกับร่างกายของตนเอง
หลวงปู่อยากให้บวชไม่อยากให้ไปใช้ชีวิตทางโลก เช่น ไปชอบผู้หญิง อยากจะไปแต่งงาน ก็มีเหตุให้ท่านตา มองไม่เห็น ท่านก็รู้ว่าหลวงปู่ทำให้ท่านตามองไม่เห็น ท่านก็จะพูดกับหลวงปู่ว่า ถ้าตาบอดก็บวชไม่ได้ ตาก็สว่างโล่งเช่นเดิม พอใจคิดจะไปเรียนต่อปริญญาตรี และอยากไปเรียนในวิชาที่สนใจคือ นิเทศศาสตร์ เป็นพิธีกร โฆษก ท่านมีความสามารถเล่นดนตรี แคน พิณ แต่ร้องเพลงไม่เป็น พอคิดเรื่องจะไปเรียนต่อ ตาท่านก็จะมองไม่เห็น มืดไปหมด พอรู้ก็บอกหลวงปู่ว่า ถ้าตามองไม่เห็นก็ไปบวชไม่ได้ ตาก็จะกลับมาสว่างเหมือนเดิม ท่านจึงมั่น่ใจว่าหลวงปู่จวน ดูแลท่านตลอดเวลา เวลาไปที่ไหนจะเกิดเรื่อง ท่านก็จะรู้ล่วงหน้า ก็จะไม่ให้ไปหรือ ให้รับออกไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์ เช่น คนตีกัน หรือมีอุบัติเหตุต่างๆ
- จุดเปลี่ยน ทำไมท่านถึงมาบวช
หลังจากจบการศึกษาก็ช่วยพ่อแม่ขายวัสดุก่อสร้าง และไปเล่นวงดนตรี จนอยากจะบวชก็ไปขอพ่อแม่ แต่พ่อแม่ก็ขอให้ช่วยหาเงินสร้างบ้านก่อน พระอาจารย์หลอดเลยยื่นคำขาดว่า จะให้บวชหรือจะให้ตาย พ่อแม่จึงยอมให้บวชเมื่ออายุ 24 ปี ท่านมาเข้านาคและบวชอยู่ที่วัดป่าบ้านค้อ
ท่านอุปสมบท เมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม 2529 ที่วัดอรัญญิกาวาส โดยมีพระครูวิริยโสภณ (หลวงปู่หนูหยาด วิริโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูภาวนาจิตสุนทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
3. บวชแล้วมีอุบายหรือแนวทางอะไรที่ทำให้ดำรงอยู่ในเพศนักบวชจนจึงปัจจุบัน
อุบายเรื่องต้นฝรั่งหรือหมากสีดา
ท่านมีหมากสีดา กระถางหนึ่ง รักมาก หลวงพ่อทูลให้ไปหาที่ปลูก ปลูกแล้วก็ให้เปลี่ยนกระถางและเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง จนท่านได้แง่คิดว่า หมากสีดา ถ้าย้ายที่ปลูกบ่อย ๆ ต้นจะไม่โตเสียที เปรียบเหมือนการปฏิบัติภาวนา เปลี่ยนอุบายหรือวิธีการภาวนาบ่อย ๆ จิตก็ไม่เจริญก้าวหน้าสักที ท่านจึงเลือกที่จะไปปลูกที่ครัว ให้คนดูแลและให้น้ำ พอท่านคิดได้ หลวงพ่อทูลก็ไม่ใช้ท่านย้ายอีกเลย
อุบายฝึกตนเอง
ท่านเป็นคนที่นอนได้ทั้งคืนทั้งวัน ท่านจึงกลัวว่าจะไม่ทันไปบิณฑบาต ท่านจึงหาอุบายฝึกตนเอง ด้วยการไปเอาไหปลาร้าแล้วเอาไม้กระดานวางบนปากไหแล้วขี้นไปนั่ง ถ้าหลับก็จะตกลงมา ท่านจึงแก้การนอนไม่ตื่นด้วยการไม่นอน และนั่งหลับในสมาธิแทน ท่านไม่นอนมา 34 พรรษา จนกระทั่งปี 2563 ท่านอาพาธ มีแผลที่ก้น ญาติโยมนิมนต์ให้ท่านเข้ารพ.เพื่อผ่าตัด ท่านไม่ยอม แต่ญาติโยมขอร้อง ท่านจึงยอม เพราะท่านจะต้องนอนให้หมอผ่าตัด
อุบายแก้พูดมาก
ตอนบวชใหม่ ๆ ท่านชอบพูด ท่านจึงใช้อุบายอมน้ำไว้ในปากตลอดเวลา เวลาเจอใคร ก็พูดไม่ได้ เพราะน้ำอยู่ในปาก หลังจากที่ท่านแก้อาการทางจิตสำเร็จ ท่านจึงเป็นคนพูดน้อยมาก จนไม่พูดไปเลย
หาสถานที่ไปปลีกภาวนา
หลังจากทำงาน และสรงน้ำเสร็จ หมู่คณะจะชวนกันออกไปนอกวัดหรือพื้นที่ป่าเพื่อภาวนา ไปแล้วแยกกันภาวนา พอจะใกล้สว่างก็กลับเข้าวัดเพื่อมาบิณฑบาต ท่านชอบนั่งไม่ชอบเดิน แล้วก็ฝึกอดอาหาร แต่ไม่ชอบเดินจงกรม จนพระอาจารย์ไชยา ได้มาแนะนำให้เดินจงกรมบ้าง
แก้หลงในสมาธิ
ท่านว่าบวชมา 11 พรรษา ตอนติดสมาธิ ภาวนาไม่เป็น เป็นแต่ทำสมาธิอย่างเดียว ทำแล้วมีแต่นิมิต มีทิฐิมานะ จิตมีความเห็นผิด ไม่มีการพิจารณาอริยสัจสี่ ไม่มีการพิจารณาทุกข์ สมุทัย และไม่พิจารณาไตรลักษณ์ จะนั่งและเดินก็เป็นสมาธิตลอดเวลา จิตพุ่งสว่างไสวไปทั่ว กำหนดจิตก็ไปไหนรวดเร็วมาก ไม่อยู่กับกายใจเลย จนกระทั่งจิตเป็นวิปลาส
ท่านเพ่งเสาโทรศัพท์ของหลวงพ่อทูล ที่วัดป่าบ้านค้อ เสียหาย หลวงพ่อจึงให้ท่านไปอยู่ที่วัดป่าหนองสองห้อง ท่านก็ยังคงทำแต่สมาธิ จนกระทั่งจิตเสื่อม เกิดความกลัวจับใจมาก กลัวผี กลัวสิ่งต่าง ๆ ท่านไปภาวนาที่กุฏิหลังหนึ่ง มีศพแม่มาน (ศพหญิงตั้งครรภ์) มาฝังใต้กุฏิ นั่งไป 2-3 วันไม่เป็นไร พอรู้ว่ามีศพคนตาย ท่านกลัวมาก แต่ก็อยากจะฝึกตนเอง ท่านออกมานั่งสมาธิหลับตานอกกุฏิ ใส่กุญแจห้องไว้ด้วย พอได้ยินใบไม้ ใบตองกุง ใบใหญ่ตกลงมาเสียงดังมาก ท่านตกใจกลัว จิตท่านหายตัวหนีเข้าไปอยู่ในห้องที่ล็อกกุญแจ พอลืมตาก็งงว่าเข้ามาในห้องได้อย่างไร รู้ว่าตนเองกลัวมากก็ออกไปอีก ไม่นั่งหลับตา ใบไม้ตกอีกก็กลัว
อยู่ที่วัดหนองสองห้อง มีรถมอเตอร์ไซค์ขับเสียงดัง กำหนดจิตว่าเสียงดัง เท่านั้น รถมอเตอร์ไซค์ล้มเลย และยังมีหลายเหตุการณ์ที่ควบคุมจิตไม่ได้ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เกือบตาย ท่านค่อยเริ่มเห็นทุกข์ โทษ ภัย จากการทำสมาธิ แต่ท่านยังหาวิธีแก้ไม่ได้ ท่านจึงเห็นทุกข์ในจิต จนต้องไปหาที่แก้อาการ เลยไปช่วยงานที่วัดตาดน้ำพุ
ในระหว่างการภาวนาที่วัดตาดน้ำพุนั้น มีวันหนึ่งพระอาจารย์หลอดเกิดความทุกข์มาก จนร้องตะโกนว่าเมื่อไรจะออกมาได้เสียที พอมีสติเริ่มเห็นทุกข์ที่จิตตนเอง คำของหลวงพ่อทูล ที่เคยสอนว่า
“เปิดเผยความจริงให้จิตรู้ ทุกข์เกิด ให้พิจารณาทุกข์ ใจเป็นผู้เสวยทุกข์ ใจเป็นผู้ทุกข์ อยากพ้นทุกข์ ให้เห็นทุกข์ ต้องรวมใจ”
เปิดเผยความจริงให้จิตรู้ พิจารณาเรื่องทุกข์ พิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นทุกข์ สมุทัย เห็นทางมรรค ใช้ปัญญาสอนจิต เห็นทางให้เกิดนิโรธ สมาธิอบรมปัญญา ที่เป็นทุกข์เพราะสังขารจิต หรืออวิชชา เป็นวิปัสสนู
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิเวธ คือการพิจารณาให้ใจเกิดความสลดสังเวช
4.ความประทับใจเกี่ยวกับหลวงพ่อทูล
ท่านว่าหลวงพ่อเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่เป็นที่พึ่งอย่างดีแล้ว หลวงพ่อจะแนะนำสั่งสอน ห้ามปราบและคอยดูแลท่าน ท่านสามารถสื่อสารกับหลวงพ่อทางจิตได้ หลวงพ่อคิดอะไรท่านก็จะทราบ สื่อกันทางจิต สั่งงานทางจิต หลวงพ่อจะหมั่นถามความเป็นอยู่ แสดงความห่วงใย และช่วยเหลือตลอดเวลา
5.ปฏิปทาข้อปฏิบัติหรือข้อธรรม
– อยู่ในอิริยาบถ 3 ยืน เดิน นั่ง ไม่นอน มากกว่า 30 กว่าปี
– ไม่พูดธรรมะ ถ้าไม่มีใครถาม
– อ่อนน้อมถ่อมตน
ปัจจุบัน พระอาจารย์หลอด ดำรงตำแหน่ง เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าหนองสองห้อง ตำบลค่ายบกหวาน อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย