พยานบุคคล
แม่ชีสุภาพ พันธุ์หงษ์
(แม่ชีนัน, แม่ต้อย)
“เจาะโลกทะลุธรรม”
- ประวัติ
เกิดที่ ตำบลนาเกาะ อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์
เกิด 29 เมษายน 2490 บิดาชื่อ คำมูล มารดาชื่อ สาคร นามสกุล สมมีชัย พี่น้อง 5 คน แม่เป็นลูกคนโต มีน้องชาย 2 คน น้องสาว 2 คน
สื่อประทับใจวัยเด็ก
1.เหงื่อที่ไหลบนแก้มของแม่ที่กำลังดำนา เหงื่อเป็นสื่อกระตุ้นใน 2 ประเด็น
1.1 เราไม่อยากมีอาชีพทำนา
1.2 ซึ้งถึงความลำบากของแม่ บอกตัวเองจะใช้ชีวิตไม่ให้แม่เสียใจ เพราะความประพฤติของตนเอง
2.ภาพวัวเคี้ยวหญ้า ย้อนเห็นตัวเอง เรากับวัวเหมืนกัน เราก็เคี้ยวข้าวเช่นกัน
3.บ่ายวันหนึ่งเดินผ่านใต้ถุนบ้านคนอื่น เขากำลังนอนหลับอยู่บนแคร่อย่างสนิท สะท้อนถามตัวเองว่า เกิดมานอนแค่นี้หรือ?
ใช้ชีวิตนักเรียน ทั้งลำบากทั้งสนุก เพราะต้องเดินหรือถีบจักรยานไปโรงเรียน ไปกลับวันละ 7 กิโลเมตร เมื่อจบชั้นมัธยมได้เข้าเป็นนักศึกษาหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบปริญญาตรีแต่งงานกับนายแพทย์ประเสริฐ พันธุ์หงษ์ มีลูกชาย 2 คน ใช้ชีวิตอยู่อเมริกา ประมาณ 30 ปี
2.จุดเปลี่ยน ทำไมท่านถึงมาปฏิบัติธรรม
ครั้งหนึ่งแม่ชีนันถามตัวเองว่า ทำไมเราถึงวนอยู่กับอะไร มันหาทางออก หาทางออกในสิ่งที่ตัวเองวน มันรำคาญตัวเองว่างั้นเถอะ ไม่รู้จะทำยังไง มันรำคาญตัวเอง
ส่วนตัวลึก ๆ เราเกิดมาเอาอะไร ? มันรำคาญ หาอยู่ มันไม่มีใครแก้ความคำราญของตัวเองได้เลย รำคาญจากอะไร เอ๊า! กินแล้วก็ต้องกินอีก นอนอีกหลับแล้วตื่นอีก เดินเข้าห้องน้ำก็เข้าอีก มันเห็นความวนของตัวเอง วนจนรำคาญ อยากได้ออกไปซื้อ ไม่จบ อยากได้อีกออกไปซื้ออีก มันรำคาญ มันเหมือนกับอุดตันอะไรซักอย่าง คิดแต่ความอยากของตัวเองในแต่ละวัน คิดเดิมๆ คิดซ้ำซาก มันเลยรำคาญความคิดของตัวเอง ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักทุกข์ด้วยนะ ทุกข์ก็ยังไม่รู้ แต่รู้ว่ารำคาญ รู้ว่าซ้ำซาก รู้ว่าไร้สาระ ไม่มีอะไรเลย มันรู้อยู่ในใจของตัวเอง แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่รู้จะบอกใคร
เมื่อปี 2530 ได้ฟังธรรมจาก หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญโญ เป็นวาระ จุดเปลี่ยนในความเข้าใจการใช้ชีวิตของตนเอง จากสื่ออุบายธรรมเรื่อง “เล่นอยู่กับหางงู” สะท้อนประสบการณ์ การใช้เวลากับความสุขในหลายๆรูปแบบ เช่น การไปวิ่งแข่งได้โล่ ได้เหรียญ ได้คำเยินยอ อุปมาเหมือนเล่นอยู่กับหางงู เป็นหนึ่งสื่อกระตุ้นแนวเห็นแนวคิดใหม่ จึงได้เข้าใจเรื่องหัวงู ได้เข้าใจความจริงว่า เรามีความหลงผิด เข้าใจผิด ในการดำรงชีวิต ได้โอกาสคำว่าทุกข์ในสุขของตัวเอง จากชีวิตจริงมีหลักฐานชัดเจนในแต่ละเรื่องราวในความทุกข์ที่เคยเสพสิงอยู่ว่าเป็นความสุข เป็นช่วงที่พบทางใหม่ ให้ใจอิสระได้จากสื่อจุดประกายปัญญาเฉพาะตน
เมื่อก่อนมีความรู้สึกเหมือนเราหลับใหลอยู่กับความวนของเรา เราหลับ ที่เรารำคาญตัวเองนั่นแสดงว่าเราหลับ จิตมันหลับ มันไม่ตื่น ไม่เห็นอะไร มันวนอยู่กับความคิดวนในวิถีชีวิตของตัวเอง พอหลวงพ่อมาบอกว่า เล่นอยู่กับหางงู มันตื่นขึ้นมาเลย มันเหมือนว่าเราไม่เคยรู้เลยว่าเรากำลังเล่นอยู่กับหางงู พอแม่ตื่น หลังจากท่านกลับไปแล้ว แม่ก็เจอหัวงู เลยมั่นใจว่าเป็นวิธีที่จะแก้ความรำคาญตัวเอง จะไม่วนอีกแล้ว จะไม่เล่นกับหางงูอีกแล้ว เพราะเจอหัวงูใช่มั๊ย
เจอตะปูบนทางวิ่ง ไปแก้ไขการติดอะไรเอาออกให้หมด ให้หลักทวนกระแส ทวนกระแสทุกอย่างในวิถีชีวิตส่วนตัว ทวนเพื่อให้ปัญญาเกิด เอาตะปูมาเลาะด้ายที่เสื้อ ตีสมมติเสื้อชุดวิ่งที่ติดให้แตก
3.เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วมีอุบายหรือแนวทางอะไรที่ทำให้ยังคงปฏิบัติธรรมมาจนถึงปัจจุบัน
มีอุบายธรรม เช่น
1.อุบายเล่นหุ้น อุบายนักเล่นหุ้น การเล่นหุ้นว่าเราจะเล่นหุ้นตัวไหนถึงจะได้รับผลตอบแทนในการเล่นหุ้นของเราได้มาก ไม่ขาดทุนหรือขาดทุนน้อยที่สุด แต่ให้ได้กำไรมากที่สุด ให้เราสะท้อนว่า เวลาของเราก็คือเงิน หลักเงิน แต่มันเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ภายในจิตใจของเราที่ใช้เวลาที่จะคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร เนี่ยคือก็ลงหุ้น หุ้นนี่แหละ กาย วาจา ใจของเราอยู่กับที่ไหน เรื่องราวอะไร นี่เป็นการเรียนรู้ที่จะให้อยู่แล้วได้ทรัพย์ผลตอบแทนต่อด้านจิตใจ เขาเรียกว่า เจริญปัญญาพัฒนาจิตของตัวเองให้หายโง่ในแต่ละเรื่องราวได้ คือหลักอริยทรัพย์ภายในจิตใจ คุณค่าเวลาของตัวเอง
- การเลื่อยไม้ การเจาะไม้ด้วยสว่าน จึงเห็นธรรม เจาะโลกทะลุธรรม
- อุบายฝ่ามือ อธิบายเรื่องโลก กับ ธรรม
4.ปลูกต้นไม้ ปลูกถั่ว เข้าใจเรื่องการพึ่งพาอาศัย
5.กุญแจเปิดห้องโรงแรม ห้องโรงแรมที่เราไปพักนั่นเป็นโลก ของใช้ในโรงแรม เช่น แก้ว ผ้าเช็ดตัว ทีวี โรงแรมมันเป็นตัวแทนโลกทั้งโลกที่เข้ามาเข้าไปอยู่ เมื่อปัญญาเกิดความเข้าใจ จิตมันซูมกลับไปที่บ้าน บ้านมีอะไร คิดมันเห็นหมดเลย เห็นทุกจุดในบ้าน เข้าใจว่าวัตถุสมบัติในบ้านไม่ใช่ของเราเลย มันเข้าใจเลยแค่ขณะเดียว เพราะอะไร เพราะหลักฐานมันชัดเจนจริง ๆ โรงแรมไม่ใช่ของเราจริง ของในโรงแรมเรามาใช้ชั่วคราวยังไง มันเข้าใจหมดเลย กลับบ้านก็ไปตรวจสอบพิสูจน์เลยว่า รถเป็นของเราจริงมั๊ย! หมอนเป็นของเราจริงมั๊ย! ทุกอย่างเป็นของเราจริงมั๊ย! ไปตรวจส่วนตัวนะ ไม่มีใครรู้
มีอุบายย้อนศร ให้รู้ไว้เลยว่า อันไหนเป็นของเราจริงๆ เราเป็นทาสอะไร มีหลายจุดให้ค้นหาเอง
1.ทาสวัตถุสมบัติมีไหม ตรวจดูทุกชิ้น 2. เราเป็นทาสคนที่เราอยู่รอบข้างไหม ถ้าเขาพูดแบบนี้เราทุกข์กับคำพูดเขาไหม ถ้าเรายังเป็นทาสอยู่ แสดงว่าเรายังหลงอยู่ เรายังขออยู่ ขอความเห็นใจ ขอความเข้าใจ ขอให้เขาเห็นด้วย ขอสารพัด เหมือนขอทานที่อินเดีย ฉะนั้นขอให้เรารู้ว่าเราเป็นทาสไหม ถ้ายังเป็นทาส ปลดปล่อยซะ เราปลดปล่อยทาสกับกายเราไหม
อุบาย ต้นไม้ ผัก เก้าอี้ จะเห็นเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นธาตุ 4 เราหลงมาเป็นของของเรา อุบายธรรมสามารถน้อมนำให้ความจริงเข้าสู่ใจได้ทางลัด อุบายธรรมจะมาจาก 3 อย่าง คือ 1.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงที่เราสัมผัสได้จริง สัมผัสร่วมกันจริง 2. สิ่งมีชีวิต 3.สิ่งไม่มีชีวิต เป็นสื่อเจาะใจเจาะตาปัญญา เป็นความเพียรต่อเนื่อง นักปฏิบัติต้องเป็นนักสังเกต
- ความประทับใจเกี่ยวกับหลวงพ่อทูล
หลวงพ่อทูลให้ความเมตตาเป็นกันเอง เราก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าเราเจอ ผู้ที่เราจะพึ่งพาอาศัยได้แล้ว ประทับใจในความเป็นองค์หลวงพ่อที่ท่านจะไม่ต้าน เราจะนิมนต์ไปตรงไหน ทำอะไรที่ท่านเห็นจะเป็นประโยชน์ ท่านก็จะไปได้ นิมนต์ไปตรงไหนก็ได้ ความเป็นองค์ง่ายๆ อยู่กับท่านแล้วสบายๆ
ท่านจะกระตุ้นให้เราเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ คนติดตามหลวงพ่อทูลมีเหตุด่วนที่ไม่สามารถเดินทางติดตามได้ ระหว่างอยู่ในสนามบิน แล้วแม่ชีมีกระเป๋าใบหนึ่ง หลวงพ่อก็มีใบหนึ่ง แม่ชีก็ถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าขา ให้ลูกได้ลากกระเป๋าถวายหลวงพ่อไหม” หลวงพ่อบอก“ก็เรามีแล้วไง” สิ่งนี้ทำให้แม่ชีซึ้งเลย ซึ้งว่าเรามีอะไรเนี่ยนะ เราก็รับผิดชอบตัวเองเถอะ รับผิดชอบตัวเองให้ได้ สะท้อนถึงการก้าวย่างที่จะพัฒนาชีวิตตัวเอง ต้องพึ่งตัวเองด้วยสิ่งที่เราพอมีปัญญาถึงแม้จะน้อยนิดหลวงพ่อก็จะไม่ตำหนิติเตียนอะไรให้โง่ไปก่อน แต่ผลของการโง่เป็นยังไง ท่านก็จะกระตุ้นให้เราเรียนรู้อยู่กับสิ่งที่เป็นชีวิตของเรา ด้วยผิดๆถูกๆ ให้เราเรียนเอง ตนเป็นที่พึ่งของตนจริงๆ
นอกจากนี้ หลวงพ่อทูลสอนว่า
1.ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม อย่าปฏิบัติข้ามขั้นตอน ให้รู้สถานภาพของเราว่า เราเป็นใคร เด็ก ผู้ใหญ่ สถานะสภาวะของเรายังเป็นเด็กขนาดใหญ่
2.การปฏิบัติเราต้องแบ่งฉากของเราให้เป็น การปฏิบัติธรรมแบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคส่วนตัว กับ ภาคส่วนรวม หลวงพ่อจะใช้คำว่า การแสดงออกทางกายวาจาเรียกว่า กิริยา ส่วนทางใจการปฏิบัติเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ ที่เป็นความลับสุดยอด เรียกว่า อกิริยาธรรมส่วนรวม ใช้หลักสัปปุริสธรรม ต้องเป็นนักแสดงให้ได้ตุ๊กตาทอง ส่วนธรรมส่วนตัวให้ใช้หลักไตรลักษณ์ หลักที่จะคลายยึดของตัวเอง แม่เปรียบเทียบว่าเหนือดินกับใต้ดิน
3.อย่าเอาตามตำรา แต่อย่าทิ้งตำรา
ถ้าเราใช้ปัญญาสัมมาทิฐิ..ไม่มีผิด ปัญญาสัมมาทิฐิที่ประกอบไปด้วยความเห็นถูกว่า
-ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงเสมอ
-ทุกอย่างที่เราเกิดมาไม่มีอะไรนอกจากทุกข์
-ทุกอย่างในที่สุดแล้วไม่มีตัวเราตัวเขาเลย
- ให้เปรียบเหมือนถือไม้ทิ่มไป เจอทุ่นระเบิดเมื่อไหร่ นั่นแหละรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเป็นของเรา ทิ่มเข้าไปๆ อุบายธรรมหาไว้เป็นหมื่นเป็นแสน
- ตีสมมติให้แตก ขัดให้เป็นเงา ได้อุบายธรรมตะปู ใช้เป็นสื่อตีสมมติ และขัดให้เป็นเงา รื้อทุกอย่างที่ติด ให้เลิกเป็นทาสของสิ่งสมมุติ
6.หลักปฏิเสธ เป็นหลักของใจ อย่าไปปฏิเสธนอกนะ
5.ปฏิปทาข้อปฏิบัติหรือข้อธรรม
ปฏิปทา คือการแบ่งปันเทคนิควิธีการที่อาศัยสื่อธรรมชาติเป็นปัญญาอบรมใจ ให้คลายจากความยึดความอยาก ความทุกข์ใจ เพราะได้เห็นความจริงที่ปรากฏเป็นหลักสอนให้ใจยอมรับได้จริงๆ เช่น ความจริง ๒ ด้าน ความพร่องของธรรมชาติ ความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏสัมผัสได้จริง เมื่อความจริงเข้าสู่ใจ ใจจะเคารพยอมรับในความเป็นจริงนั้นก็จะเกิดปัญญาสัมมาทิฐิ ถอดถอนความคิดความเห็นต่างๆ ออกไปได้ “เอาประโยชน์ ทิ้งโทษให้เป็น” เจาะโลกทะลุธรรม มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีตนเองเป็นที่พึ่งของตน
ปฏิปทาส่วนใหญ่จะอยู่และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเห็นคุณค่า เป็นการกระตุ้นให้เรียนรู้ร่วมกัน เราจะง่ายต่อการที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็นหลักฐานให้จิตเรายอม มันชัดเจน เพราะมันมีหลักฐาน ถ้าเราพูดธรรมะลักษณะเป็นแบ่งบัน เป็นภาษาพูดอย่างเดียว บางทีมันก็อาจจะเป็นแค่ความรู้ แต่ถ้าสมมุติว่าอยู่ด้วยกันแล้วมีสื่อ อุบายธรรมมีเหตุการณ์จริง อันนี้มันรู้ธรรมด้วยกันเลย แล้วเอาไปต่อยอดเอง โดยอาศัยสื่อ สิ่งแวดล้อม เช่น ต้นไม้บ้าง อะไรบ้าง เหตุการณ์จริงที่แม่เคยเรียนรู้ อบรมชี้แนะมา
วิธีการเดินมรรค หรือแนวทางการปฏิบัติ How To
ทำอย่างไรที่เราจะเอาประโยชน์จากทุกเหตุการณ์ จากทุกๆบุคคลที่เราเจอะเจอ น้อมนำมาเป็นข้อคิดสะกิดใจ หรือเป็นกระจกให้เราได้เห็นตัวเอง ขอบคุณทุกคนที่เจอ ขอบคุณทุกเรื่องที่เกิด ขอบคุณเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่เกิดรอบตัวเรา นี่เขาเรียกว่า ฝึกเอาสิ่งแวดล้อมหรือฝึกเอาร่างกายของเองมาเป็นข้อคิดสะกิดใจ ที่จะบอกอะไรแก่เรา ให้เอาประโยชน์ให้ได้ ถ้าเราจับหลักไม่ได้เราก็ยังเป็นนักโทษอยู่
เรามีปัญญาบารมีทุกคน ต้องเพียรต่อเนื่อง
วิธีเพียรต่อเนื่อง จับหลัก
1.ต้องแบ่งให้เป็นว่าเรามีหน้าที่อะไร หน้าที่ที่ต้องรับผิดขอบยิ่งใหญ่ที่สุด
๑.รับผิดชอบจิตใจของตัวเอง เข้าใจจิตใจตัวเองหรือยัง ว่าจิตของเรามีมิจฉา สัมมา ปนกันอยู่ใช่มั๊ย ๒. รับผิดชอบร่างกาย ออกกำลังกาย ๓. รับผิดชอบสิ่งแวดล้อม คำพูด ดูแลบ้าน จนได้หลักสูตรตนเองคือบริหาร 3 คือ บริหารจิต บริหารกาย บริหารสิ่งแวดล้อม
เมื่อไหร่ ที่เราตั้งหลักสัมมาทิฐิในใจได้ กี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ เปรียบเหมือนเราขับรถบนไฮเวย์แล้วปัญญาอัตโนมัติ คือ charge battery ไปในตัว
2.ให้เอาประโยชน์อย่างเดียว ไม่เอาโทษเลยในสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าอากาศเย็น อาหารไม่อร่อย ไม่ว่าคนด่าเรา นี่เป็นประโยชน์หมดเลย ถ้าเราจับตรงนี้ได้ เราจะภูมิใจ มีความพอใจ มีอิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นสูตรของความสำเร็จ
- อื่น ๆ แล้วแต่จะเมตตาแบ่งปัน
แรงฮึด เราต้องทวนกระแสของสิ่งที่เรารู้ว่า สิ่งนั้นมันไร้สาระกับชีวิตตัวเอง เราต้องตัดกระแส แล้วฝึกจิตให้อยู่เหนือเหตุการณ์ของโลกใบนี้ เวลามีเหตุการณ์อะไรขึ้น ปัญญาเมื่ออบรมจิตเค้าโต เค้าเรียก on มันอยู่บนแล้ว เมื่อก่อนมันจะบ่น บ่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอะไรอย่างนี้ พอจิตเราเติบโตขึ้นไปอยู่มัน Above มันจะอยู่เหนือเหตุการณ์แล้ว มองลงมาก็จะเห็นทุกข์โทษภัยแล้ว เราไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัยอะไร เพราะเราอยู่เหนือแล้ว
หลักการที่เลือกแนวทางหลวงพ่อทูล คือให้ถามตนเอง
พวกเราได้หลักอย่างแท้จริงกันหรือยัง
หนักแน่นในแนวหลวงพ่อทูลหรือยัง หลวงพ่อสอนอะไร
หลักหลวงพ่อทูลเป็นหลักที่เรามั่นใจหรือยัง
ถ้าเรายังไม่มั่นใจในเส้นทาง มันจะเกิด
– ความลังเล พอลังเลก็จะทำให้เราล่าช้า สับสน ไม่มั่นใจ
– ไม่มีความภูมิใจ ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
ถ้าเราได้ใช้ปัญญาเฉพาะตนในแนวทางของหลวงพ่อทูล
– หลักอะไรที่เปลี่ยนแปลงตัวเองในจุดใดบ้าง
– ถ้าเรามีโอกาสที่จะชี้แนะคนอื่น เราจะใช้เทคนิค, เคล็ดลับหรือศิลปะ ในการนำเสนออย่างไร
– เราศรัทธาในการปฏิบัติของตนเองโดยไม่สงสัยเลยว่าแนวนี้เป็นอย่างไร เพราะเราเห็นผล ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่เรามั่นใจ
ปัจจุบันแม่ชีนันพำนักอยู่ที่ มูลนิธิวิวัฏธรรม ทุ่งข้าวหอม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่